ME: สวัสดีค่ะ
TheOne: สวัสดีครับ ผมXXX ที่เคยคุยเรื่องทุนวิจัย คือว่าผมเพิ่งไปคุยกับกลุ่มที่เค้าทำ App สำหรับแลกเปลี่ยนของที่ เป็นของที่เหลือจากการผลิต ของที่ยังขายไม่ได้ เอามาแลกกันโดยไม่ต้องใช้เงิน ก็เลยคิดว่าเราน่าจะมาทำที่ชุมชน... คือในชุมชนก็มีคนที่เราอยากช่วยเหลือ เงินทองก็หายาก ผลิตผลที่มีถ้ามันแลกกันได้ก็น่าจะดี คือตั้งราคาแล้วก็เอาของมาแลก
ME: เค้ามีระบบในการทำหนดราคายังไงคะ
TheOne: ตั้งกันเองเหมือนเสนอราคา มันควรจะถูกกว่าราคาตลาด แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่แพงกว่าราคาตลาด ซึ่งก็ไม่ควร มีคนเคยไปซื้อ ไปรับของถึงเชียงใหม่ ไปกับเพื่อนสองคน เอารถกระบะไปขน ราคาคงถูก ก็ซื้อมาเยอะแยะ พอขากลับขนมาเต็มคันรถจนเพื่อนไม่มีที่นั่ง ต้องให้เพื่อนไปนั่งรถทัวร์กลับ แบบนี้ก็ไม่อยากให้เกิด ไปด้วยกันกลับทิ้งเพื่อนเพราะเสียดายของ เราอยากให้เค้ามีน้ำใจด้วย อย่างคนที่ไม่มี แต่ทำประโยชน์ให้สังคม ขยันทำมาหากิน ก็น่าจะสามารถเอาความดี หรืออะไรสักอย่างมาแลกได้ด้วย ก็อย่างที่รู้เงินทองมันก็หายากขึ้น
ME: ค่ะ
TheOne: อย่างเมื่อก่อนผมก็เคยทำ... ตอนนั้นนะ... มีที่นั่นด้วย... ประกวด... ได้ใบประกาศ... มีมาดูงาน... มีคนสนใจ... อันนั้นก็ด้วย... บลาๆๆ...
[คือต่อจากนั้นจำไม่ได้แล้วค่ะ แต่ว่าไม่น่าจะเกี่ยวเท่าไหร่... ก็ขำๆดี]
เอาเป็นว่า อยากได้ App สักตัวที่แลกของกันได้ แล้วก็คำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรม เอาความดีมาแลกได้ด้วย
ขอกลับไปศึกษาดูก่อน... ไม่มีความมั่นใจสักนิดว่าความดีมันวัดกันยังไง แล้วเหตุใดความดีถึงจะเอามาแลกของได้
รับปากแล้วก็มาดูตัวอย่างสักหน่อยละกัน
อันแรกที่เจอเป็น Swapub เค้าบอกว่าเป็นแพลตฟอร์มไว้แลกเปลี่ยนสิ่งของ ได้ไอเดียมาจากบล็อกเกอร์คนหนึ่งที่เริ่มจากคลิปสีแดงตัวใหญ่แลกไปเรื่อยๆ จนได้บ้านมาหนึ่งหลัง ซึ่งบทสรุปของเค้าคือ แต่ละคนให้มูลค่ากับสิ่งของไม่เท่ากัน ของที่เราเห็นว่าไม่มีค่าอาจจะมีค่ากับคนอื่นได้ แต่จากไอเดียนี้ถ้ามองในมุมกลับก็เท่ากับว่าสิ่งที่เราเห็นว่ามีคุณค่า คนอื่นเค้าอาจเห็นว่าไม่มีคุณค่าก็ได้
การที่เราตั้งราคาสินค้าของเราสูง ก็เป็นเพราะเราเห็นค่าของมัน แล้วทำไมเราต้องไปยกให้คนอื่น หรือเอาไปแลกกับคนอื่นโดยตั้งราคาต่ำกว่าปรกติ ด้วยเหตุผลนี้ถ้าเราเอาไปวางขายให้กับคนที่ให้คุณค่ากับมัน ก็น่าที่จะให้กำไรดีกว่า พอกำไรดีอยากจะช่วยชุมชน หรืออยากทำอะไรก็สะดวกกว่าตั้งเยอะ
จาก Swapub ความคิดเห็นบางส่วนที่เจอ คือ คนส่วนใหญ่ก็เข้าไปตั้งราคาขายของกันอยู่ดี แม้ว่าจุดประสงค์ตั้งใจให้เอาของไปแลกกัน แต่สุดท้ายเราก็เอาเงินไปแลกมา ก็ถ้าเราอยากได้ของที่เค้าประกาศ แต่เค้าไม่ได้อยากได้ของที่เรามี อะไรมันจะดีไปกว่าเงินหละ
หรือว่า เราจะมาผิดทาง เปลี่ยนไปดูวิวัฒนาการของการแลกเปลี่ยนดีกว่ามั้ง
เค้าว่าไว้ว่า วิวัฒนาการของการแลกเปลี่ยนมี 3 ระยะ คือ
1. การแลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของ เป็นการแลกเปลี่ยนโดยเอาของมาแลกกัน และทั้งสองฝ่ายต่างก็พอใจ เช่น นาย ก.นำไก่ 5 ตัว ไปแลกหมูจากนาย ข. 1 ตัว เป็นต้น การแลกเปลี่ยนระบบนี้มีในสมัยโบราณหรือชนบทที่ห่างไกลความเจริญ
2. การใช้เงินเป็นสื่อกลาง เนื่องจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ยากที่จะให้เกิดความพอใจแก่ผู้แลกทั้ง 2 ฝ่าย มนุษย์จึงใช้เงินเป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน เช่นนาย ก. มีไก่ก็นำไปขาย พอได้เงินมาแล้ว ตัวเขาต้องการหมูก็เอาเงินไปซื้อหมูตามที่ต้องการได้ การใช้เงินเป็นสื่อกลางจึงช่วยให้การแลกเปลี่ยนสะดวกขึ้น
3. การใช้ตราสารทางการเงิน ในการซื้อขายที่ต้องใช้เงินคราวละมากๆอาจไม่ปลอดภัย มนุษย์จึงคิดหาวิธีซื้อขายกันให้สะดวกและปลอดภัย เช่นการใช้เช็ค เช็คเดินทาง ตั๋วแลกเงิน บัตรเครดิต ต่างๆแทนเงิน
ก็หมายความถ้าเราจะกลับไปใช้ของแลกของ นี่มันย้อนยุคกลับไปชัดๆ ปัญหาก็มีให้เห็น ทำไมเราไม่เดินหน้าหละ ใช้ตราสารทางการเงิน หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ไม่ดีกว่าเหรอ... ดีกว่าสิ เงินหายากก็หาเงินเข้าชุมชน อย่ามาเอาความดีมาปน ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย คนดีก็ควรได้อะไรดีๆ แต่ธุรกิจมันก็ต้องเป็นธุรกิจ (น้ำเสียงเข้มๆ เด็ดขาดๆ)
ตามไปศึกษาธุรกิจตัวแทนสักราย พยายามหาแถวๆ เชียงใหม่ตามท้องเรื่อง ก็พบอยู่รายเดียว คือ https://www.bartercard.co.th/ คำโปรยของเค้าคือ
"บาร์เทอร์คาร์ด คือ ตลาดการค้าที่ประกอบด้วยผู้ถือบัตรกว่า 55,000 นักธุรกิจ ที่มียอดการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจกว่า 40 ล้านเหรียญต่อเดือน ในกว่า 75 สำนักงานทั่วโลก ด้วยทีมงานที่ให้บริการลูกค้ากว่า 600 คน
ตั้งแต่บาร์เทอร์คาร์ดก่อตั้งในปี 2534 ถือเป็นการปฏิวัติวิธีการบริหารกระแสเงินสดของธุรกิจ บาร์เทอร์คาร์ด คือ ผู้นำระดับโลกในธุรกิจให้บริการการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ด้วยจำนวนผู้ถือบัตรกว่า 55,000 นักธุรกิจใน 9 ประเทศ ที่ได้รับประโยชน์จากการค้าด้วยระบบการแลกเปลี่ยนที่ไม่ใช่เงินสด บาร์เทอร์คาร์ดได้เชื่อมธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ ที่ซึ่งนักธุรกิจจะได้สร้างพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน"
อืม... ธุรกิจชัดๆ ทำมานาน เครือข่ายกว้าง ก็ดูน่าเชื่อถือมั้ง? ถ้าจะเอาตัวเองเป็นนายหน้า หรือ กำหนดสกุลเงินใหม่เอง แล้วไม่ใหญ่พอ ใครเค้าจะเชื่อถืออ่ะ... หรือเราจะไปรวมกับ AIS ดี ดูเข้าทางเด็ก ป.โท น่าจะมีโอกาสรอดมากกว่าเริ่มเอง
TheOne: สวัสดีครับ ผมXXX ที่เคยคุยเรื่องทุนวิจัย คือว่าผมเพิ่งไปคุยกับกลุ่มที่เค้าทำ App สำหรับแลกเปลี่ยนของที่ เป็นของที่เหลือจากการผลิต ของที่ยังขายไม่ได้ เอามาแลกกันโดยไม่ต้องใช้เงิน ก็เลยคิดว่าเราน่าจะมาทำที่ชุมชน... คือในชุมชนก็มีคนที่เราอยากช่วยเหลือ เงินทองก็หายาก ผลิตผลที่มีถ้ามันแลกกันได้ก็น่าจะดี คือตั้งราคาแล้วก็เอาของมาแลก
ME: เค้ามีระบบในการทำหนดราคายังไงคะ
TheOne: ตั้งกันเองเหมือนเสนอราคา มันควรจะถูกกว่าราคาตลาด แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่แพงกว่าราคาตลาด ซึ่งก็ไม่ควร มีคนเคยไปซื้อ ไปรับของถึงเชียงใหม่ ไปกับเพื่อนสองคน เอารถกระบะไปขน ราคาคงถูก ก็ซื้อมาเยอะแยะ พอขากลับขนมาเต็มคันรถจนเพื่อนไม่มีที่นั่ง ต้องให้เพื่อนไปนั่งรถทัวร์กลับ แบบนี้ก็ไม่อยากให้เกิด ไปด้วยกันกลับทิ้งเพื่อนเพราะเสียดายของ เราอยากให้เค้ามีน้ำใจด้วย อย่างคนที่ไม่มี แต่ทำประโยชน์ให้สังคม ขยันทำมาหากิน ก็น่าจะสามารถเอาความดี หรืออะไรสักอย่างมาแลกได้ด้วย ก็อย่างที่รู้เงินทองมันก็หายากขึ้น
ME: ค่ะ
TheOne: อย่างเมื่อก่อนผมก็เคยทำ... ตอนนั้นนะ... มีที่นั่นด้วย... ประกวด... ได้ใบประกาศ... มีมาดูงาน... มีคนสนใจ... อันนั้นก็ด้วย... บลาๆๆ...
[คือต่อจากนั้นจำไม่ได้แล้วค่ะ แต่ว่าไม่น่าจะเกี่ยวเท่าไหร่... ก็ขำๆดี]
เอาเป็นว่า อยากได้ App สักตัวที่แลกของกันได้ แล้วก็คำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรม เอาความดีมาแลกได้ด้วย
ขอกลับไปศึกษาดูก่อน... ไม่มีความมั่นใจสักนิดว่าความดีมันวัดกันยังไง แล้วเหตุใดความดีถึงจะเอามาแลกของได้
รับปากแล้วก็มาดูตัวอย่างสักหน่อยละกัน
อันแรกที่เจอเป็น Swapub เค้าบอกว่าเป็นแพลตฟอร์มไว้แลกเปลี่ยนสิ่งของ ได้ไอเดียมาจากบล็อกเกอร์คนหนึ่งที่เริ่มจากคลิปสีแดงตัวใหญ่แลกไปเรื่อยๆ จนได้บ้านมาหนึ่งหลัง ซึ่งบทสรุปของเค้าคือ แต่ละคนให้มูลค่ากับสิ่งของไม่เท่ากัน ของที่เราเห็นว่าไม่มีค่าอาจจะมีค่ากับคนอื่นได้ แต่จากไอเดียนี้ถ้ามองในมุมกลับก็เท่ากับว่าสิ่งที่เราเห็นว่ามีคุณค่า คนอื่นเค้าอาจเห็นว่าไม่มีคุณค่าก็ได้
การที่เราตั้งราคาสินค้าของเราสูง ก็เป็นเพราะเราเห็นค่าของมัน แล้วทำไมเราต้องไปยกให้คนอื่น หรือเอาไปแลกกับคนอื่นโดยตั้งราคาต่ำกว่าปรกติ ด้วยเหตุผลนี้ถ้าเราเอาไปวางขายให้กับคนที่ให้คุณค่ากับมัน ก็น่าที่จะให้กำไรดีกว่า พอกำไรดีอยากจะช่วยชุมชน หรืออยากทำอะไรก็สะดวกกว่าตั้งเยอะ
จาก Swapub ความคิดเห็นบางส่วนที่เจอ คือ คนส่วนใหญ่ก็เข้าไปตั้งราคาขายของกันอยู่ดี แม้ว่าจุดประสงค์ตั้งใจให้เอาของไปแลกกัน แต่สุดท้ายเราก็เอาเงินไปแลกมา ก็ถ้าเราอยากได้ของที่เค้าประกาศ แต่เค้าไม่ได้อยากได้ของที่เรามี อะไรมันจะดีไปกว่าเงินหละ
หรือว่า เราจะมาผิดทาง เปลี่ยนไปดูวิวัฒนาการของการแลกเปลี่ยนดีกว่ามั้ง
เค้าว่าไว้ว่า วิวัฒนาการของการแลกเปลี่ยนมี 3 ระยะ คือ
1. การแลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของ เป็นการแลกเปลี่ยนโดยเอาของมาแลกกัน และทั้งสองฝ่ายต่างก็พอใจ เช่น นาย ก.นำไก่ 5 ตัว ไปแลกหมูจากนาย ข. 1 ตัว เป็นต้น การแลกเปลี่ยนระบบนี้มีในสมัยโบราณหรือชนบทที่ห่างไกลความเจริญ
2. การใช้เงินเป็นสื่อกลาง เนื่องจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ยากที่จะให้เกิดความพอใจแก่ผู้แลกทั้ง 2 ฝ่าย มนุษย์จึงใช้เงินเป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน เช่นนาย ก. มีไก่ก็นำไปขาย พอได้เงินมาแล้ว ตัวเขาต้องการหมูก็เอาเงินไปซื้อหมูตามที่ต้องการได้ การใช้เงินเป็นสื่อกลางจึงช่วยให้การแลกเปลี่ยนสะดวกขึ้น
3. การใช้ตราสารทางการเงิน ในการซื้อขายที่ต้องใช้เงินคราวละมากๆอาจไม่ปลอดภัย มนุษย์จึงคิดหาวิธีซื้อขายกันให้สะดวกและปลอดภัย เช่นการใช้เช็ค เช็คเดินทาง ตั๋วแลกเงิน บัตรเครดิต ต่างๆแทนเงิน
[นาง ประไพพิศ เตียตระกูลวิวัฒน์, ภูเขียว, วันที่ 22 พฤษภาคม 2545]
ก็หมายความถ้าเราจะกลับไปใช้ของแลกของ นี่มันย้อนยุคกลับไปชัดๆ ปัญหาก็มีให้เห็น ทำไมเราไม่เดินหน้าหละ ใช้ตราสารทางการเงิน หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ไม่ดีกว่าเหรอ... ดีกว่าสิ เงินหายากก็หาเงินเข้าชุมชน อย่ามาเอาความดีมาปน ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย คนดีก็ควรได้อะไรดีๆ แต่ธุรกิจมันก็ต้องเป็นธุรกิจ (น้ำเสียงเข้มๆ เด็ดขาดๆ)
ตามไปศึกษาธุรกิจตัวแทนสักราย พยายามหาแถวๆ เชียงใหม่ตามท้องเรื่อง ก็พบอยู่รายเดียว คือ https://www.bartercard.co.th/ คำโปรยของเค้าคือ
"บาร์เทอร์คาร์ด คือ ตลาดการค้าที่ประกอบด้วยผู้ถือบัตรกว่า 55,000 นักธุรกิจ ที่มียอดการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจกว่า 40 ล้านเหรียญต่อเดือน ในกว่า 75 สำนักงานทั่วโลก ด้วยทีมงานที่ให้บริการลูกค้ากว่า 600 คน
ตั้งแต่บาร์เทอร์คาร์ดก่อตั้งในปี 2534 ถือเป็นการปฏิวัติวิธีการบริหารกระแสเงินสดของธุรกิจ บาร์เทอร์คาร์ด คือ ผู้นำระดับโลกในธุรกิจให้บริการการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ด้วยจำนวนผู้ถือบัตรกว่า 55,000 นักธุรกิจใน 9 ประเทศ ที่ได้รับประโยชน์จากการค้าด้วยระบบการแลกเปลี่ยนที่ไม่ใช่เงินสด บาร์เทอร์คาร์ดได้เชื่อมธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ ที่ซึ่งนักธุรกิจจะได้สร้างพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน"
อืม... ธุรกิจชัดๆ ทำมานาน เครือข่ายกว้าง ก็ดูน่าเชื่อถือมั้ง? ถ้าจะเอาตัวเองเป็นนายหน้า หรือ กำหนดสกุลเงินใหม่เอง แล้วไม่ใหญ่พอ ใครเค้าจะเชื่อถืออ่ะ... หรือเราจะไปรวมกับ AIS ดี ดูเข้าทางเด็ก ป.โท น่าจะมีโอกาสรอดมากกว่าเริ่มเอง
Comments
Post a Comment